How to Train Your Dragon ฉบับคนแสดง (Live-Action) ปี 2025 เป็นการรีเมคภาพยนตร์แอนิเมชันสุดคลาสสิกของ DreamWorks ในปี 2010 ซึ่งน่าประหลาดใจที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับคำวิจารณ์ในแง่บวกอย่างท่วมท้นจากนักวิจารณ์ โดยถูกมองว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของการนำแอนิเมชันมาสร้างเป็นคนแสดงได้อย่างซื่อสัตย์ต่อต้นฉบับ ในขณะเดียวกันก็มอบประสบการณ์ทางภาพที่ยิ่งใหญ่และน่าประทับใจ

คะแนนและกระแสวิจารณ์โดยรวม
- Rotten Tomatoes (นักวิจารณ์): ได้คะแนนในระดับ (จาก All Critics) ซึ่งถือว่า “Fresh” และเป็นหนึ่งในหนังรีเมคคนแสดงที่ทำได้ดีที่สุด นักวิจารณ์ส่วนใหญ่ชื่นชมความซื่อสัตย์ต่อเรื่องราวเดิม งานภาพ CGI ที่น่าทึ่ง และการกำกับโดย ดีน เดอบลัวส์ (Dean DeBlois) ผู้กำกับต้นฉบับ
- IMDB: คะแนนผู้ใช้ยังคงอยู่ในระดับดีถึงดีมาก โดยมีรายงานว่าหนังทำรายได้สูงถึง ล้านเหรียญสหรัฐ ทั่วโลก ทำให้เป็นภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดเป็นอันดับที่ 5 ของปี 2025 (ณ เวลานั้น) และเป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดในแฟรนไชส์
- Box Office: ประสบความสำเร็จอย่างสูง ในเชิงพาณิชย์ ด้วยทุนสร้างประมาณ ล้านเหรียญสหรัฐ
เรื่องย่อโดยละเอียดและสปอยล์ (Plot Summary & Spoilers)
แก่นเรื่อง: ภาพยนตร์เรื่องนี้ดำเนินรอยตามต้นฉบับปี 2010 อย่างใกล้ชิด โดยเล่าเรื่องราวของ ฮิคคัพ ฮอร์เรนดัส แฮ็ดด็อก ที่สาม (Hiccup Horrendous Haddock III) (รับบทโดย เมสัน เทมส์ – Mason Thames) ลูกชายวัย 16 ปีที่ไม่เป็นที่ยอมรับของ สตอยค์ผู้ยิ่งใหญ่ (Stoick the Vast) (รับบทโดย เจอราร์ด บัตเลอร์ – Gerard Butler ซึ่งกลับมาแสดงบทที่เขาเคยพากย์ในฉบับแอนิเมชัน) หัวหน้าเผ่าไวกิ้งบนเกาะเบิร์ก (Berk) ที่มีปัญหาสงครามกับมังกรมานานหลายชั่วอายุคน
จุดเริ่มต้นและมิตรภาพที่ถูกซ่อนเร้น
- ปัญหาของฮิคคัพ: ฮิคคัพเป็นไวกิ้งที่ผอมบางและไม่ถนัดการต่อสู้ แต่มีความเฉลียวฉลาดด้านกลไก ในระหว่างการจู่โจมของมังกร เขาลอบยิงมังกรที่หายากและเป็นที่หวาดกลัวที่สุดอย่าง ไนท์ ฟิวรี่ (Night Fury) ด้วยเครื่องยิงลูกตุ้มที่ประดิษฐ์ขึ้นเอง แต่ไม่มีใครเชื่อ
- การค้นพบมังกร: ฮิคคัพออกตามหามังกรตัวนั้นในป่าเพื่อพิสูจน์ตนเอง แต่เมื่อพบเข้า เขากลับไม่สามารถฆ่ามันได้ เพราะมังกรตัวนั้นบาดเจ็บและดูน่าสงสาร เขาจึงปล่อยมันไป
- มิตรภาพต้องห้าม: ฮิคคัพกลับมาหามังกรตัวนั้นอีกครั้ง (ซึ่งเขาตั้งชื่อให้ว่า ทูธเลส – Toothless) และค้นพบว่าลูกตุ้มของเขาทำให้ครีบหางด้านซ้ายของมันฉีกขาด ทำให้มันบินไม่ได้ตามลำพัง ฮิคคัพสร้างอานและครีบเทียมขึ้นมา ซึ่งต้องอาศัยตัวเขาในการบังคับ ท่ามกลางการฝึกฝนการบินร่วมกัน มิตรภาพที่ไม่อาจเป็นไปได้จึงก่อตัวขึ้น
- การเรียนรู้จากมังกร: ในขณะเดียวกัน สตอยค์ออกเดินเรือเพื่อค้นหารังมังกร ฮิคคัพถูกส่งไปฝึกการต่อสู้กับมังกรกับเพื่อนไวกิ้งวัยเดียวกัน รวมถึง แอสทริด ฮอฟเฟอร์สัน (Astrid Hofferson) (รับบทโดย นิโค พาร์คเกอร์ – Nico Parker) หญิงสาวที่เขาแอบชอบ ฮิคคัพใช้ความรู้ที่ได้จากทูธเลสในการฝึกฝน ทำให้เขาสามารถ “ปราบ” มังกรในการฝึกได้อย่างง่ายดาย สร้างความประทับใจให้กับชาวบ้าน แต่ก็ทำให้แอสทริดสงสัยในพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของเขา
จุดหักเหและการเปิดเผยความจริง (Major Spoilers)
- ความจริงเกี่ยวกับรังมังกร: แอสทริดค้นพบความลับของฮิคคัพและทูธเลส ฮิคคัพจึงพาเธอขึ้นบินเพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นมิตรของมังกร ทูธเลสพาพวกเขาไปยัง รังมังกร ที่ถูกปกครองโดยมังกรยักษ์สุดอันตรายนามว่า เร้ด เดธ (Red Death) ซึ่งสั่งให้มังกรตัวอื่นล่าเหยื่อมาให้มันกินเพื่อแลกกับความปลอดภัย แอสทริดตระหนักว่ามังกรจู่โจมเบิร์กเพราะความอยู่รอด
- การสอบครั้งสุดท้าย: ในการสอบครั้งสุดท้ายที่ฮิคคัพต้องฆ่ามังกรเพื่อพิสูจน์ความเป็นไวกิ้ง เขาพยายามแสดงให้ชาวบ้านเห็นว่ามังกรไม่จำเป็นต้องถูกฆ่า แต่สตอยค์ได้ทำให้มังกรที่ถูกฝึกไว้โกรธโดยไม่ได้ตั้งใจ ทูธเลสจึงปรากฏตัวออกมาเพื่อปกป้องฮิคคัพ ทำให้ความจริงทั้งหมดถูกเปิดเผย สตอยค์รู้สึกโกรธและอับอายมาก จึงปฏิเสธฮิคคัพและจับทูธเลสไว้
- การต่อสู้ครั้งสุดท้าย: สตอยค์ใช้ทูธเลสเป็นเครื่องนำทางไปยังรังมังกร ฮิคคัพและแอสทริดจึงรวมตัวกับเพื่อนๆ ไวกิ้งคนอื่นๆ เพื่อฝึกมังกรที่ถูกจับไว้ และตามกองเรือของสตอยค์ไปเตือน
- การเสียสละของฮิคคัพ: เร้ด เดธ ตื่นขึ้นและทำลายกองเรือไวกิ้ง ฮิคคัพและทูธเลสเข้าล่อเร้ด เดธ ขึ้นไปในอากาศ ฮิคคัพใช้ไฟของทูธเลสทำลายปีกของเร้ด เดธ ในระหว่างการต่อสู้ เร้ด เดธ ได้ฟาดหางเข้าใส่ฮิคคัพ ทำให้เขาตกลงไปในเปลวไฟ ทูธเลสพยายามช่วยฮิคคัพ แต่ฮิคคัพก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส เสียขาซ้ายไป (เป็นฉากที่สะเทือนอารมณ์และถูกนำเสนอด้วยภาพที่สมจริงกว่าฉบับแอนิเมชัน)
- บทสรุปของเบิร์ก: ฮิคคัพตื่นขึ้นมาบนเกาะเบิร์กและพบว่าเขาได้ขาเทียมที่ก๊อบเบอร์ทำขึ้น (พร้อมกับครีบเทียมของทูธเลสที่ได้รับการปรับปรุงใหม่) การเสียสละของเขาทำให้ไวกิ้งยอมรับมังกร ทูธเลสเป็นที่รักของหมู่บ้าน และฮิคคัพก็เริ่มต้นความสัมพันธ์กับแอสทริด ในที่สุดเกาะเบิร์กก็เข้าสู่ยุคใหม่ที่ไวกิ้งและมังกรอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
บทวิจารณ์เชิงวิพากษ์ (Critique)
จุดเด่น
- ความซื่อสัตย์และเคารพต่อต้นฉบับ: การกำกับของดีน เดอบลัวส์ ผู้กำกับต้นฉบับ ทำให้ภาพยนตร์ฉบับคนแสดงมีความซื่อสัตย์ต่อเนื้อเรื่องเดิมมากที่สุดเรื่องหนึ่งในบรรดาหนังรีเมคทั้งหมด มันถ่ายทอดหัวใจของเรื่องราวเกี่ยวกับมิตรภาพ ความเข้าใจ และการยอมรับความแตกต่างได้อย่างครบถ้วน
- งานภาพและ CGI ที่ยอดเยี่ยม: มังกรและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทูธเลส ถูกนำเสนอด้วย CGI ที่น่าทึ่ง ทำให้พวกเขามีชีวิตชีวาและดู “เหมือนจริง” อย่างน่าเชื่อถือ ฉากการบินและการต่อสู้มีความยิ่งใหญ่และสมจริงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยเฉพาะฉากการต่อสู้กับ Red Death ในองก์สุดท้ายถูกยกย่องว่าตื่นเต้นและสร้างความประทับใจ
- ดนตรีประกอบ: การกลับมาของ จอห์น พาวเวลล์ (John Powell) ในการทำดนตรีประกอบอีกครั้ง ทำให้เพลงประกอบที่มีความไพเราะและกระตุ้นอารมณ์อย่าง “Test Drive” และ “Forbidden Friendship” กลับมามีพลังอีกครั้งในฉบับคนแสดง
- การแสดงของนักแสดงนำ: เมสัน เทมส์ สามารถถ่ายทอดความเป็นฮิคคัพที่อ่อนแอ แต่มีความเฉลียวฉลาดและจิตใจดีได้เป็นอย่างดี ส่วน เจอราร์ด บัตเลอร์ ก็แสดงบทสตอยค์ได้อย่างยอดเยี่ยมทั้งในฉากตลกและฉากดราม่า
จุดอ่อน
- ความซ้ำซ้อน: เนื่องจากหนังมีความซื่อสัตย์ต่อต้นฉบับมากเกินไป นักวิจารณ์บางคนจึงมองว่ามันไม่ได้เพิ่ม “คุณค่าใหม่” ที่จำเป็นต่อการรีเมค การเล่าเรื่องแบบ “ตามรอย” เกือบทุกฉากทำให้ผู้ชมที่เคยดูฉบับแอนิเมชันมาแล้วรู้สึกว่านี่เป็นเพียง “การคัดลอกราคาแพง”
- การขยายฉากที่ไม่จำเป็น: เพื่อยืดความยาวของภาพยนตร์ให้มากขึ้น (จาก 98 นาทีเป็น 125 นาที) บางฉากจึงถูกขยายออกไปโดยไม่ได้เพิ่มเนื้อหาใหม่ๆ ที่สำคัญ ทำให้บางช่วงของหนังดูยืดยาดและขาดจังหวะที่ลงตัวเหมือนฉบับแอนิเมชัน
- เสน่ห์ของตัวละครรอง: นักแสดงบางคนในบทบาทตัวละครรอง เช่น รَفฟ์นัต (Ruffnut) และ ทัฟฟ์นัต (Tuffnut) ถูกมองว่าขาดเสน่ห์และความตลกขบขันแบบการ์ตูน และดูเหมือน “Cosplay ราคาแพง” มากกว่าจะเป็นตัวละครที่มีมิติ
ตัวอย่างหนัง
สรุป: How to Train Your Dragon (2025) เป็นหนังรีเมคคนแสดงที่ทำได้อย่างดีเยี่ยม โดยนำเสนอภาพที่สวยงามตระการตาและมิตรภาพอันอบอุ่นหัวใจระหว่างมนุษย์และมังกรได้อย่างซื่อสัตย์ต่อจิตวิญญาณของต้นฉบับ แม้จะไม่ได้นำเสนอสิ่งใหม่ๆ ในแง่ของเนื้อเรื่อง แต่ด้วยงานสร้างที่ยิ่งใหญ่และฉากแอ็กชันสุดอลังการ ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จในการมอบประสบการณ์ผจญภัยที่น่าตื่นเต้นให้กับผู้ชมรุ่นใหม่และยังคงเป็น “จดหมายรัก” ที่สวยงามสำหรับแฟนๆ ดั้งเดิม
